วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Consumer Review : เครื่องดูด กำจัดไรฝุ่น Philips (Philips Mite Vacumn Cleaner)


ไรฝุ่น (Mite) ภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ใกล้ตัวเรามาก ใกล้จนกระทั่งนอนกับมันทุกวันยังไม่รู้ตัว



แล้วไอ้เจ้าไรฝุ่นนี้มันทำอันตรายอะไรเราได้บ้าง ?
ว่ากันตามจริงแล้ว ไรฝุ่นไม่สามารถทำอันตรายเราทางกายภาพได้ เพราะปากของไรฝุ่นไม่ได้ออกแบบมาให้กัดได้หรือต่อยได้ แต่เจ้าไรฝุ่นนี้จะปล่อยมูลออกมาตลอด ขอเรียกว่า มูลไรฝุ่น ซึ่งเจ้ามูลไรฝุ่นนี่เอง ส่งผลให้เราเกิดอาการแพ้ได้

ทางผิวหนัง   มีอาการคัน ระคายผิว อาจมีอาการภูมิแพ้ซึ่งอาการที่พบได้แก่ ผิวหนังบวมแดง คัน เป็นผื่น สิว ลมพิษ ไปจนถึงผิวหนังอักเสบ
ทางตา   มีอาการคัน เคืองตา มีขี้ตามีน้ำตา จนอาจกลายเป็นภูมิแพ้ซึ่งมักมีอาการ ตาบวม ตุ่มน้ำที่หนังตา ตาแดง ริดสีดวงตา จนอาจพัฒนาไปเป็นตาต้อ
ทางการหายใจ   มีอาการคัน คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม ไอ จนกลายเป็นภูมิแพ้ ซึ่งมักพบอาการจมูกอับเสบ บวม ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไปจนถึงอาการหอบหืด

ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคภูมิแพ้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งบางคนที่มีอาการแพ้มาก ก็จะมีอาการมากกว่าคนที่ไม่แพ้


หน้าตาของ ไรฝุ่น เป็นแบบนี้ครับ





ไรฝุ่น  เป็นแมลง 8 ขา กลุ่มเดียวกับ เห็บ มีขาข้อขนาดเล็กอ รูปร่างกลมรี สีขาวขุ่น มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก เพราะมีขนาดเล็กเพียง 0.1-0.3 มิลลิเมตร ชอบอยู่ในที่อับชื้น ไม่มีแสงสว่าง และชอบเกาะเกี่ยวเส้นใย มักจะอยู่บนที่นอน หมอน มุ้ง หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยผ้าที่มีเส้นใย หรือ ตามโซฟาต่างๆ


ทำไมถึงอยากได้เครื่องกำจัดไรฝุ่นละ

ต้องบอกว่าเป็นความฝังใจตั้งแต่วัยเด็ก ที่เคยเห็นการดูดไรฝุ่นบนที่นอน แล้วก็พบว่า โห ไรฝุ่นบนที่นอนเราเยอะขนาดนี้เลยหรือนี้ และตอนเด็กๆ ก็เป็นโรคภูมิแพ้บ่อย โตมาก็เป็นผื่นตามหลัง แขน ขา เป็นมาเท่าไหร่ก็ไม่หาย จนคิดว่าสาเหตุมาจากที่นอนเราหรือเปล่า ?

ประจวบกับกำลังจะมีลูกก็อยากให้ที่นอนที่ลูกนอนสะอาดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

วิธีการกำจัดไรฝุ่น (สมัยโบราณ)


- นำที่นอน หมอน มุ้งมาตากแดด ซึ่งจริงๆ แล้วก็ได้ผล เพราะไรฝุ่นจะอยู่ไม่ได้หากอยู่ในที่ที่มีอุณภูมิเกิน 90 องศาเป็นเวลา 30 นาที แต่วิธีนี้ไม่ได้ผล 100% เพราะว่า ไม่ได้มีการนำที่นอนไปตากแดดสม่ำเสมออย่างน้อยเดือน 1 ครั้ง และเวลาไปตากไรฝุ่นก็มักจะหลบไปอยู่ที่อีกด้านที่ไม่โดนแดดได้ และถึงแม้ว่าสามารถฆ่าไรฝุ่นซากของมันก็ยังอยู่บนที่นอนไม่ได้หายไปไหน ก็ยังเป็นพิษกับเราอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะเอาไม้มาตีออกไปแต่ก็ไม่สามารถเอาซากไรฝุ่นที่อยู่ลึกๆ ออกมาได้

- ใช้สารเคมี หรือ สมุนไพร ซึ่งวิธีนี้เราก็ไม่แน่ใจอีกว่าจะมีสารเคมีอะไรตกค้างมาถึงเราหรือเปล่า และเหมือนข้อบนคือ ซากของไรฝุ่นก็ยังคงอยู่บนที่นอนไม่ได้หายไปไหน


วิธีการกำจัดไรฝุ่น (สมัยปัจจุบัน)

เป็นที่พิสูจน์แล้วว่าวิธีการกำจัดไรฝุ่นที่ดีสุด คือ การดูดมันออกมา ด้วยเครื่องดูดฝุ่น แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้เครื่องดูดฝุ่นธรรมดาแล้วจะสามารถดูดไรฝุ่นออกมาได้ การจะดูดไรฝุ่นออกมาได้นั้นต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นกำลังสูง และที่สำคัญต้องมีตัวตีที่นอน ซึ่งเครื่องดูดฝุ่นแบบนี้ราคาแพงมาก (30,000+)

ส่วนเครื่องดูดฝุ่นทั่วไปที่ขายอยู่ตามท้องตลาดนั้น (ตัวเริ่มต้น) พนักงานมักจะเชียร์ว่าเครื่องดูดฝุ่นของเขามีกำลังดูดแรง มีหัวหมุนสามารถตีที่นอน และดูดไรฝุ่นได้ !!!

ซึ่งหากเราไม่ได้ศึกษามาก่อนอาจถูกหลอกขายได้ ไอ้หัวดูดฝุ่นที่นอนที่พนักงานมักจะเอามาหลอกเรา คือ หัวแปลงดูดที่มีแกนหมุนตรงปลาย ซึ่งมันหมุนด้วยแรงลมดูดจากเครื่องดูดฝุ่น ไม่ได้มีมอเตอร์อะไรเลย ไอ้หัวหมุนที่ว่าแค่เอามือไปแตะนิดนึงมันก็หยุดหมุนแล้ว ไม่ต้องไปวางแปะบนที่นอนก็รู้แล้วว่าตีไรฝุ่นออกมาไม่ได้แน่







 อันนี้คือหน้าของหัวดูดฝุ่นที่นอน อีกแบครับ อันนี้แบบหมุนด้วยแรงไถ แบบนี้ไรฝุ่นจะออกมาได้ไง T-T








กว่าพนักงานจะเข้าใจว่าหัวตีไรฝุ่นเป็นยังไงก็เล่นเอาเหนื่อยเลย พอเข้าใจกันแล้วพนักงานพามาดูยี่ห้อ Dyson เลย ซึ่งนี้แหละที่ต้องการ Dyson มีหัวตีที่นอนด้วยมอเตอร์จริงๆ ไม่ได้ใช้แรงลมดูด ซึ่งแรงหมุนแรงพอที่จะตีไรฝุ่นให้ออกมาได้

นอกจาก Dyson ที่มีหัวตีแบบนี้ก็มีจะมี Hitachi แต่เป็นรุ่น TOP เท่านั้นที่มีหัวตีไรฝุ่นแบบใช้มอเตอร์แยกกับเครื่องดูด จากการลองทดสอบแรงสั่นใช้ได้เลย แต่ด้วยราคาเกือบ 30,000 บอกเลยเกินงบไปเยอะ
ทำให้ต้องกลับมาตั้งหลักเลยทีเดียว 55+



หลังจากตั้งหลักได้ ก็กลับมาเสริจข้อมูลในอากู๊ และ พบว่า เฮ้ย !!! เดียวนี้มันมีเครื่องดูดไรฝุ่นที่ทำแยกออกมาเฉพาะเลยนี่หว่า ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อ Kenko, Mister Robot, TOSHIBA, SHARP, PHILIPS









ที่นี้เราก็มาตัดช้อยเพื่อให้ได้ตัวเลือกที่ดีกับเรามากที่สุด (และดีกับเงินในกระเป๊าด้วย)
จากยี่ห้อข้างต้น ตัดยี่ห้อที่ไม่รู้จัก และยี่ห้อที่ไม่รู้การว่ารับประกันจะดีไหมออก เหลือ 3 เลือก คือ TOSHIBA, SHARP, PHILIPS

ที่นี้มาดูเรื่อง ราคากันบ้าง

TOSHIBA พึ่งออกสินค้ามาใหม่เลย ราคาเลยยังไม่ลดเท่าไหร่ จัดราคามาที่ 14,900 บาท
SHARP ออกมาตอนต้นปี ราคา 11,900
PHILIPS ออกมาปลายปีที่แล้ว ราคา 7,990 ตอนนี้ราคา 5,990


ระบบการทำงาน

- TOSHIBA ใช้หัวตี ระบบกระแทกไรฝุ่นออกมา ความถี่ 1,600 ครั้งต่อนาที พร้อมระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่น มีระบบการแยกฝุ่นแบบ ดูอัลทอนาโด จุดเด่น คือ ไร้สาย และสามารถเปลี่ยนหัวแปลงไปใช้เป็นเครื่องดูดฝุ่นธรรมดาได้ด้วย

- PHILIPS ใช้หัวตี เหมือน TOSHIBA ความถี่ 10,800 ครั้งต่อนาที ระบบการแยกฝุ่นใช้ แผ่นกรอง HEPA Filter 12 ซึ่งข้อเสียของการใช้แผ่นกรอง HEPA คือ ต้องคอยเปลี่ยนใส้กรองทุกๆ 6 เดือน (เท่าที่สอบถามราคาประมาณ 300 บาท) นอกจากนี้ยังมีการใช้แสง UV จากหลอด UV มาช่วยในการฆ่าเชื้อ เสมือนการตากแดดอีกด้วย

- SHARP ใช้หัวตีเป็นแบบ ใบพายยางหมุนกระแทกไรฝุ่น ซึ่งทางชาปเคลมว่าเป็นโลหะแข็งแรงทนทาน หมุนด้วยความความเร็ว 6,000 รอบต่อนาที นอกจากนี้ยังมีการนำเอาลมร้อนมาผสมกับเทคโนโลยี "พลาสม่าคลัสเตอร์มีเฉพาะในชาร์ป" มาพ่นใส่ที่นอนหลังดูดฝุ่นอีกด้วย โดยลมร้อนที่ปล่อยมามีอุณหภูมิ 40 องศา



หน้าตาแปลงตีไรฝุ่นของ SHARP ครับ สีแดงๆ ที่เห็น คือ ยางสำหรับตีที่นอนครับ


หลังจากรวบรวมข้อมูลแล้วก็เอามา คิด วิเคราะห์ แยกเยอะ ต่อ

- TOSHIBA ดูจะคุ้มค่า ตรงที่ว่าสามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องดูดฝุ่นธรรมดาได้ด้วย แต่ไม่ชอบตรงระบบไร้สาย มันช่วยให้สะดวกขึ้นกูจริงๆ แต่ดูดฝุ่นได้รอบละ 20 นาที ไม่พอแน่ๆ หากวันไหนอยากดูดฝุ่นหลายๆ ห้องคงต้อง ดูดไป ชาจไป ขี้เกียจกันพอดี แถมอนาคตมีโอกาสแบตเสื่อมได้อีก และที่สำคัญหากดูจากราคาแล้ว 14,900 แล้ว สามาถซื้อ PHILIPS แล้วยังเหลือเงินไปถอยเครื่องดูดฝุ่นระดับกลางได้อีกตัวเลย

- SHARP ดูจะล้ำที่สุดมาก มีทั้งระบบ ปล่อยไอความร้อน และ Plasma Cluster แต่ จากข้อมูลที่เรารู้มาว่า คือ ต้องใช้ความร้อน 90 องศาถึงจะกำจัดไรฝุ่นได้ แต่อาจจะเพียงพอที่จะทำให้ไรฝุ่นปล่อยขาที่เกาะไยผ้าออกมา อีกอย่าง Plasma Cluster คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้ฝุ่นตกลงมาบนพื้น ซึ่งการใช้กับที่นอน ฝุ่นก็ลงที่นอนอยู่ดี เลยไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือไม่ดีกันแน่ อีกข้อที่ติดคือ ตัวแปลงหมุนดูแล้วมีโอกาสที่ผ้าจะเข้าไปติดได้


สรุป PHILIPS เข้าตาสุด (ตามงบที่มี) เนื่องจากราคาไม่สูงมาก หัวตีฝุ่น 3 ตัวที่มีถือว่าเพียงพอกับความต้องการ และระบบ Vacumn Cleaner ที่ดูแล้วน่าจะใช้การได้จริง ซึ่งมีข้อเสียคือไส้กรองต้องคอยเปลี่ยนแต่เมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่ายอมรับได้

ถือเป็นโชคดีช่วงที่อยากได้มีงาน HOME WORK EXPO พอดี ไม่รอช้าไปสอยมาเลยครับ ได้ on top อีก 5% พร้อม 0% 4 เดือน ผ่อนชิวๆ ไป


หน้าตา และน้ำหนัก ถือว่าทำออกมาสวยงาม รูปลักษณ์ดูดี น้ำหนักตัวเครื่อง 3 โลอาจจะหนักหน่อยตอนถือ แต่ไม่มีปัญหาในตอนใช้งาน




ปุ่มมีอยู่เพียง 2 ปุ่ม ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก โดย ปุ่มบน คือ ปุ่มเปลี่ยนโหมดการทำงานโดยมีอยู่ 3 โหมด
ได้แก่

1. ดูดฝุ่น ตีที่นอน และ เปิดหลอด UV
2. ดูดฝุ่น และ เปิดหลอด UV
3. ดูดฝุ่นอย่างเดียว

ส่วนอีกปุ่มคือ ปุ่มเปิด - ปิด เครื่อง ซึ่งตรงนี้ต้องขอติเลย ว่าออกแบบมาได้ไม่ดี เนื่องจากเวลาใช้งานมือมักจะไปกดโดนปุ่มนี้ทำให้เครื่องดับบ่อยๆ ลองดูภาพประกอบครับ



ถัดจากปุ่ททั้งสองปุ่มก็จะเป็นช่องใสๆ สำหรับไว้ใชมองปริมาณฝุ่นที่ดูดได้



คราวนี้มาดูด้านใต้กันบ้าง ก็จะเจอกับตัวตีฝุ่น 3 ตัวครับ วางเรียงกันอยู่หน้าช่องดูดฝุ่น ซึ่งพอมาดูดีๆ จะเห็นว่า PHILIPS ออกแบบช่องนี้ได้ดีมาก คือ เป็นหลุม เข้าไปเมื่อวางบนที่นอนเจ้าช่องตี กับ ช่องดูดจะถูกปิดเป็นช่องเดียวกันเสมือนเป็นสุญญากาศ ช่วยให้ดูดได้แรงขึ้น และที่สำคัญคือฝุ่นไม่ฟุ้ง !!!
และถัดมาด้านล่าง คือ หลอดไฟ UV สำหรับฆ่าเชื้อครับ



2 ข้างของช่องดูดฝุ่นจะมี กระเดื้องเอาไว้ตรวจว่าตัวเครื่องแนบกับที่นอนดีหรือไม่ โดยหากกระเดื้อง 2 ข้างนี้ไม่ถูกกดลงไฟ UV ก็จะไม่ติดครับ ซึ่งระบบจะต่างกับของ SHARP ตรงที่ของ SHARP หากเซ็นเซอร์ตรวจพบว่าไม่ได้แนบกับที่นอนตัวใบพัดจะหยุดหมุนครับ แต่ของ PHILIPS ตัวตีไรรฝุ่นจะไม่หยุดครับ



หลังจากเปิดเครื่องใช้งาน

พบว่าการใช้งานกับเครื่องนอน ไม่ว่าจะเป็น ที่นอน หมอน หมอนข้าง หรือ ผ้านวม สามาถทำได้ง่าย ลื่นไหลดีครับ ไม่มีติดขัด ไม่ต้องใช้แรงเยอะ ซึ่งผมลองแบบเอาไม่ถอดผ้าปูที่นอนก็ไม่อาการผ้าเข้าไปติดแต่อย่างใด

ช่องสำหรับมองฝุ่น ก็ดูง่าย ดูได้เลยว่าดูดฝุ่นออกมาได้จริงๆ

หลังจากดูดเสร็จมาดูผลที่ได้กัน



อุ๊ต๊ะฝุ่นมาาจากไหนเยอะแยะ นี้มาจากที่นอน หมอน ที่นอนอยู่ทุกวันหรือนี้ แถมสีออกน้ำตาลๆ แบบนี้แสดงว่าค่อนข้างสกปรกเลยทีเดียว

ฝุ่นที่เห็นนี้ได้มาจาก ที่นอน 1 ผืน หมอน 1 ใบ หมอนข้าง 1 ใบและผ้านวมอีก 1 ผืน



ส่วนอันข้างบนนี้การดูดครั้งที่ 2 หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ครับ ก็ยังน่าสยองอยู่แต่สยองน้อยลง

ข้อดีอีกอย่างของ PHILIPS คือ นอกจากเครื่องนอนแล้วยังใช้กับพวกโซฟา หรือ เก้าอี้ที่เป็นผ้าได้อีกด้วย หรือแม้แต่ผ้าม่าน หรือ พรม ก็ใช้งานได้ไม่มีปัญหา ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว

อ้อ ผมขอเพิ่มข้อเสียอีกข้อนะครับเป็นข้อเสียเล็กๆ แต่ทาง PHILIPS ไม่น่าละเลย เลย นั้นคือแปลงปัดฝุ่นที่มากับเครื่อง ข้อเสียขนแปลงมันแข็งมากๆ พอเอามาใช้กับ HEPA Filter  ปรากฏว่าเป็นขุยๆ เยินหมดเลยครับ หลังจากนั้นเลิกใช้ ใช้วิธีเคาะแทน แถมตัวเครื่องดูดฝุ่นไม่มีช่องไว้เก็บเจ้าแปลงนี้อีก คาดว่าเผลอๆ นี้อาจจะหายได้



บทสรุปหลังจากใช้งานมา 3 สัปดาห์ ใช้งานสัปดาห์ละครั้ง


ปริมาณฝุ่นลดลงกว่าครั้งแรก แต่ก็ยังมีตลอด ทำให้รู้สึกว่าห้องนอนที่นอนอยู่นี้ฝุ่นมันเยอะจริงๆ
ด้านสุขภาพรู้สึกว่านอนได้สบายขึ้นไม่คัน (ไม่รู้มโนหรือเปล่า) แต่ที่แน่ๆ ปกติผมนะมีฝื่นแดงขึ้นที่หลังตลอด ไปหาหมอทายาก็หายแต่สักพักก็จะกลับมาเป็นอีก เป็นๆ หายๆ มาจะ 10 ปีแล้ว แต่หลังจากใช้เครื่องดูดไรฝุ่น คุณแม่ กับ คุณภรรยาบอกว่าผื่นแดงจางลง ซึ่งถ้าหายเพราะเครื่องดูดไรฝุ่นจริงๆ บอกเลยว่าคุ้มมาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรอยผื่นไว้

ด้านการหายใจก็หายใจโล่งขึ้น หายใจได้เต็มที่มากขึ้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเครื่องฟอกอากาศ HITACH EP-6000 รึเปล่า

สรุปว่าซื้อมาแล้วคุ้มไหม อันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าอาการที่ดีขึ้นเกิดจากมโนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือที่นอนผมสะอาดขึ้นแน่ๆ โดยเฉพาะสำหรับผมที่ทำงานประจำ ที่นอนก็ไม่เคยยกออกไปตากแดดมาเป็นปีละ แถมช่วงนี้ฝนก็ตกตลอดอีก การได้ดูดฝุ่นออกจากที่นอนแบบนี้ผมโอเคแล้ว อย่างน้อยคือมันดูดไรฝุ่นออกมาได้จริงๆ นอนแล้วก็สบายใจไม่ได้มีฝุ่นเยอะเหมือนแต่ก่อน ฟันธง คุ้มครับ !!!


3 ความคิดเห็น: